บล็อกเป็นเว็บไซต์ที่มีเนื้อหาหลากหลายขึ้นอยู่กับเจ้าของบล็อก
โดยสามารถใช้เป็นเครื่องมือสื่อสาร การประกาศข่าวสาร การแสดงความคิดเห็น
การเผยแพร่ผลงาน ในหลายด้านไม่ว่า อาหาร การเมือง เทคโนโลยี หรือข่าวปัจจุบัน
นอกจากนี้บล็อกที่ถูกเขียนเฉพาะเรื่องส่วนตัวหรือจะเรียกว่าไดอารีออนไลน์
ซึ่งไดอารีออนไลน์นี่เองเป็นจุดเริ่มต้นของการใช้บล็อกในปัจจุบัน
นอกจากนี้ตามบริษัทเอกชนหลายแห่งได้มีการจัดทำบล็อกของทางบริษัทขึ้น
เพื่อเสนอแนวความเห็นใหม่ใหักับลูกค้า
โดยมีการเขียนบล็อกออกมาในลักษณะเดียวกับข่าวสั้น และได้รับการตอบรับจากทางลูกค้าที่แสดงความเห็นตอบกลับเข้าไป
เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์
Internet Forum
ทำหน้าที่คล้าย bulletin board และnewsgroup
มีการรวบรวมข้อมูลทั่ว ๆไป เช่น เทคโนโลยี, เกม,คอมพิวเตอร์, การเมือง ฯลฯ
ผู้ใช้สามารถโพสหัวข้อลงไปในกระดานได้
ผู้ใช้คนอื่นๆ ก็สามารถเลือกดูหัวข้อหรือแม้กระทั้ง
โพสความคิดเห็นของตนเองลงไปได้
Wiki
Wiki อ่านออกเสียง "wicky",
"weekee" หรือ "veekee"สามารถสร้างและแก้ไขหน้าเว็บเพจขึ้นมาใหม่ผ่านทางบราวเซอร์
โดยไม่ต้องสร้างเอกสาร html เหมือนแต่ก่อน
Wiki เน้นการทำระบบสารานุกรม,
HOWTOs ที่รวมองค์ความรู้หลายๆ แขนงเข้าไว้ด้วยกันโดยเฉพาะ
มีเครื่องมือที่ใช้ทำ Wiki
หลายอย่าง เช่น Wikipedia เป็นต้น
Wikipedia เป็นระบบสารานุกรม(Encyclopedia) สาธารณะที่ทุกคนสามารถใส่ข้อมูลลงไปได้
รองรับภาษามากกว่า 70 ภาษารวมทั้งภาษาไทย
มีการประยุกต์ใช้ซอฟต์แวร์วิกิที่สำคัญยิ่ง
ในการสร้างสารานุกรม ที่เปิดโอกาสให้ใครก็ได้มาร่วมกันสร้างสารานุกรมที่ http://www.wikipedia.org
วิกิพีเดียในภาคภาษาไทยที่ http://th.wikipedia.org
ในปัจจุบันวิกิพีเดียถือว่าเป็นแหล่งความรู้ที่สำคัญ
ซอฟต์แวร์เพื่อสังคมที่ดี
พึงคงคุณลักษณะของการเปิดพื้นที่ให้กับปัจเจกบุคคลในการสื่อต่อสาธารณะโดยมีการควบคุมน้อยที่สุด
เพื่อให้การประมวลสังคม เป็นไปอย่างอิสระปราศจากการครอบงำจากเจ้าของเทคโนโลยีให้มากที่สุด
ดังนั้นการสร้างหรือพัฒนาซอฟต์แวร์เพื่อสังคมใดๆ
พึงตระหนักถึงหลักการเคารพในสิทธิของปัจเจก (individual) ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
Instant Messaging
- เป็นการอนุญาตให้มีการติดต่อสื่อสารระหว่างบุคคลบนเครือข่ายที่เป็นแบบ
relative privacy
- ตัวอย่างเช่น Gtalk,
Skype, Meetro, ICQ, Yahoo Messenger, MSN Messengerและ AOL
Instant Messenger เป็นต้น
Folksonomy (ปัจเจกวิธาน)
ก่อนหน้าการกำเนิดขึ้นของปัจเจกวิธาน
โดยทั่วไปแล้ว ได้มีการจัดกลุ่มการจัดระเบียบและค้นหาข้อมูลในอินเทอร์เน็ต
โดยทั่วไปมี 3 แบบ คือ
1. ค้นหาในเนื้อความ (Text
Search)
- ตัวอย่างเช่น Google ที่ก่อตั้งโดย Sergery Brin และ Larry Page
- ได้ออกแบบเพื่อจัดอับดับความสำคัญของเว็บโดยคำนวณจากการนับ
Link จากเว็บอื่นที่ชี้มาที่เว็บหนึ่ง ๆ
- เป็นที่น่าติดตามว่าจะมีเทคนิควิธีในการค้นหาข้อมูลใหม่
ๆ
2. เรียงเนื้อหาตามลำดับเวลา (Chronological)
- เนื้อหาข้อมูลจะถูกจัดเก็บเรียงลำดับเวลาโดยแสดงตามเวลาใหม่ล่าสุดก่อน
- เช่น เว็บไซต์ประเภทข่าว อย่าง CNN,
BBC และ google news เนื้อหาเก่าจะตกไปอยู่ด้านล่าง
- Blog ก็ใช้วิธีจัดเรียงตามเวลาเช่นกัน
- ทั้งนี้หากต้องการอ่านเนื้อหาเก่าก็สามารถคลิกดูที่ปฏิทินได้
3. แยกตามกลุ่มประเภท (Category,
Classification)
- การจัดระเบียบแบบนี้ยึดเอาหัวเป็นหลัก
แล้วแยกประเภทออกไป เช่น แบ่งหนังสือเป็นประเภทธุรกิจ, หนังสือเด็ก,
นวนิยาย, คอมพิวเตอร์, ศาสนา,
วิทยาศาสตร์ ฯลฯ ลักษณะอื่น ๆ
- จะช่วยให้ค้นหาข้อมูลได้ง่ายขึ้น
กำเนิดปัจเจกวิธาน
-Joshua Schachter เริ่มรวบรวมเก็บเว็บต่าง
ๆ เป็น Bookmark ของตนเองคนเดียวไว้มากและใช้ keywordเพื่อจัดกลุ่มแทน
-เช่น “search engine tools” และ “password security tools” ก็สามารถดึงรายชื่อเว็บทั้งหมดออกมาได้ทันที
-ปัจเจกวิธาน เรียก keyword นี้ว่า tag เป็นคำสัก 2-7
คำที่เกี่ยวกับเว็บใหม่ที่สามารถจัดเป็นกลุ่มเว็บได้
-ตัวอย่าง tag ที่เกี่ยวกับ
Google Maps
Tag
วิธีการใช้ tag
นี้มีความสะดวกตรงที่ไม่ต้องจัดลำดับชั้นการจัดระเบียบเช่นเดิม
การค้นเจอเว็บก็ได้จาก tagหลาย ๆ ตัวได้
ไม่จำกัดอยู่แต่ข้อมูลใน Folder เดียวกัน Joshua นำให้ทุก ๆ คนสามารถตรวจดูเว็บที่มีการตั้งชื่อ tag โดยผู้อื่นได้
-คำว่า Folksonomy นี้ มีที่มาจากการที่ ใครก็ได้ทุก ๆ คน (Folk) มีสิทธิในการจัดทำอนุกรมวิธาน(Taxonomy)
หรือ
จัดกลุ่มประเภทหมวดหมู่ของเอกสารในโลกอินเทอร์เน็ตให้อยู่ในแบบที่ตนเข้าใจ
-ต่างจากการทำ Taxonomy เช่น การจัดประเภทสัตว์หรือพืช ที่อาศัยผู้รู้
เป็นผู้ดำเนินการและให้ผู้อื่นจัดว่าอะไรควรจะอยู่ประเภทไหนตามที่ผู้รู้นั้นได้กำหนดไว้แล้ว
คุณลักษณะพิเศษ ที่ได้จากปัจเจกวิธาน
-กระแสการติดตามเว็บใหม่ ๆ ตามชื่อ Tag
(Stream and Feed)
-การเห็นกลุ่ม Tag ก่อตัวกันมองคล้ายกลุ่มเมฆ ตามหัวเรื่องที่สนใจ (Tag Cloud)
-การให้คะแนนความนิยม (Rating
and Popularity)
-การท่องอินเทอร์เน็ตอย่างที่มีเนื้อหาข้อมูลข้ามสายกัน
(Cross-Navigation)
กระแสการติดตามเว็บใหม่ (Stream
and Feed)
-จากตัวอย่าง มีหน้าเฉพาะสำหรับ Tag
คำว่า Tools ซึ่งก็อาจจะมีหน้าเฉพาะอื่น ๆ ให้
เข้าไปติดตาม Tagเฉพาะใด ๆ ได้ เช่น
ถ้าท่านสนใจเรื่องภาษาไทย ท่านอาจจะตามอ่านได้จากหน้า “tag/thai” หรือ“tag/thai+language”
-นอกจากนี้ยังมีการสร้าง RSS
feed สำหรับหน้าดังกล่าว เพื่อใช้เตือนทาง RSS reader ว่ามีเนื้อหาใหม่ ๆ ตาม Tag ดังกล่าว
เกิดขึ้นเพิ่มขึ้นมา
กลุ่ม Tag ก่อตัวกันมองคล้ายกลุ่มเมฆ (Tag Cloud)
-เมื่อมีการใส่ tag เป็นจำนวนมากแล้ว ระบบของ ปัจเจกวิธาน สามารถแสดงภาพรวมออกมาได้ว่า ทุก ๆ
คนใช้ tag ใดมากน้อยเพียงใด (ดังรูป) Tag ใดที่มีคนใช้มาก ก็จะตัวใหญ่ tag ใดใช้น้อยก็จะตัวเล็ก
-การแสดงภาพรวมนี้สามารถทำได้ทั้งของทุก
ๆ คนรวมกัน หรือ เฉพาะบุคคลไป (ซึ่งจะชี้ให้เห็นได้ว่าบุคคลนั้นสนใจเรื่องใดบ้าง)
การให้คะแนนความนิยม (Rating
and Popularity)
-การที่เว็บมีข้อมูลจำนวนมาก ทำให้ยากต่อการตัดสินใจเลือกว่าข้อมูลใดน่าสนใจที่สุด
-ระบบของปัจเจกวิธาน
ช่วยแก้ปัญหานี้ได้ โดยการแสดงจำนวนผู้ใช้ที่ได้ใส่ tag ให้กับเว็บนั้น
ๆ ถ้ามีจำนวนผู้ใช้ที่ใส่ tag มาก
ก็แสดงว่าเว็บนั้นเป็นที่นิยม
เนื้อหาข้อมูลข้ามสายกัน (Cross-Navigation)
-การใช้แกนในการค้นหาถึงสามอย่างได้ช่วยให้พบข้อมูลใหม่
ๆ เพิ่มขึ้น แกนดังกล่าว ได้แก่
-User : เว็บทั้งหมดที่ผู้ใช้ผู้นี้ใส่
tag ให้และเรียกดู tag cloud ของผู้ใช้ผู้นี้ได้ด้วย
-Tag: เว็บทั้งหมดที่มีการใส่ tag
และเรียกดู tag ที่เกี่ยวข้องได้ด้วย
-URL: เว็บเว็บนี้มีใครใส่ tag
บ้าง และใส่ว่าอะไรบ้าง
-การค้นหา อาจจะเริ่มจากที่ User
แล้วไปที่แกน tag และทำให้พบ tag ที่เกี่ยวข้องได้อีก โดยไม่ได้ตั้งใจไว้ก่อนแต่แรก
การใช้ tag สามารถพบได้ในการนำไปกับเนื้อหาอื่น ๆ
-Flickr.com เก็บ และ ใส่ tag
ให้กับรูปภาพ
-CiteULike.org เก็บและใส่ tag
ให้เอกสารงานวิจัย (academic paper)
-43Things.com บันทึกสิ่งที่อยากทำให้ชีวิตพร้อมกับใส่
tag ให้กิจกรรมนั้น
-Tagzania.com บันทึกสถานที่ และใส่ tag
ให้กับสถานที่หรือแผนที่
อนาคตของ ปัจเจกวิธาน (Folksonomy)
-ระบบการใช้ tag จะมีการนำไปประยุกต์ใช้กับ Blog และ Wiki เพื่อความสะดวกให้การค้นหาความรู้ต่าง ๆ ที่บรรจุไว้ในซอฟต์แวร์ทั้งสอง
-ในระยะยาวอาจจะมีการแข่งขันของโปรแกรมลักษณะนี้อีกก็เป็นไปได้
โดยที่อาจจะมีคุณลักษณะเพิ่มเติมที่ง่ายต่อการใช้งาน และมีความสามารถใหม่ ๆ
Networking standards
ในส่วนนี้จะกล่าวถึง Internet
Standard เป็นขบวนการที่เกี่ยวข้องกับทุก ๆ protocol &
procedure และระเบียบแบบแผนต่าง ๆ ที่ใช้ในระบบอินเตอร์เน็ต
ไม่จำเป็นว่ามันจะเป็นส่วนหนึ่งของ TCP/IP protocol หรือไม่ในกรณีของหลาย
ๆ protocol จะถูกพัฒนาและทำให้เป็นมาตรฐานด้วยองค์กรที่ไม่ใช่เป็นองค์การของอินเตอร์เน็ต
(non-Internet organizations) แต่อย่างไรก็ตามโดยทั่วไปแล้ว the
Internet Standards Process ก็จะถูกทำให้เป็น application ของ โปรโตคอลและ procedure ของ Internet
context ไม่ใช่ว่าเพื่อระบุให้โปรโตคอลของมันเอง
TCP/IP
-ข้อตกลงในการควบคุมการรับส่งข้อมูล
และ internet หรือ protocol ของระบบ internet
Transmission Control Protocol/Internet
-โปรโตคอล TCP/IP เป็นชื่อเรียกของชุดโปรโตคอลที่สำคัญ
มีการใช้งานกันอย่างแพร่หลายตามการขยายตัวของอินเตอร์เน็ต/อินทราเน็ต
ความจริงแล้วโปรโตคอล TCP/IP เป็นกลุ่มของโปรโตคอลหลายตัว
ที่ประกอบกันเป็นชุดให้ใช้งาน โดยมีคำเต็มว่า Transmission Control
Protocol/Internet Protocol ซึ่งจากชื่อเต็มทำให้
เราเห็นว่าอย่างน้อยก็มีโปรโตคอลประกอบกันทำงานร่วมกัน 2
โปรโตคอล คือ TCP และ IP
-โปรโตคอลที่มีบทบาทสำคัญในการทำงานในเครือข่ายอินเตอร์เน็ต
คือ Internet Protocol (โปรโตคอลIP) เนื่องจาก
เมื่อโปรโตคอลอื่น ๆ ต้องการส่งผ่านข้อมูลข้ามเครือข่ายในอินเตอร์เน็ตนั้น
จะต้องอาศัยการผนึกข้อมูล (encapsulation) ไปกับโปรโตคอล IP
ที่มีกลไกการระบุเส้นทาง (route service) ผ่านGateway
หรือ Router เนื่องจากกลไกการระบุเส้นทาง
จะทำงานที่โปรโตคอล IP เท่านั้น และด้วยเหตุนี้เราจึงเรียก IP
ว่าเป็นโปรโตคอลที่มีความสามารถระบุเส้นทางการส่งผ่านของข้อมูลได้ (routable)
The HTTP protocol
HTTP มาจากคำว่า Hypertext Transfer
Protocol ซึ่งเป็น Protocol ที่ใช้ในการส่งเดต้าต่าง
ๆ ในโลกของ World Wide Web. เดต้าต่าง ๆ
เหล่านี้โดยทั่วไปมักจะถูกเรียกว่า Resource โดย Resource
เหล่านี้อาจจะเป็นไฟล์ เช่น HTML ไฟล์,
หรือคำสั่งต่าง ๆ (Query String)
HTTP เป็น network protocol ที่ใช้หลักการของ client-server model ในการติดต่อสื่อสารซึ่งหลักการทำงานอย่างคร่าว
ๆ มีดังนี้
1.HTTP Client จะทำการสร้างคอนเนคชั่นไปหา
HTTP Server ซึ่งโดยทั่วไปจะผ่านทาง socket ของTCP/IP
2.หลังจากนั้น HTTP Client จะทำการส่งคำสั่ง (request) ซึ่งโดยทั่วไปจะผ่านทาง socket
ของ TCP/IP
3. HTTP Server จะทำการตีความคำสั่งที่ได้และส่งผล
(response) ซึ่งเป็น resource ที่ HTTP
Clientต้องการกลับมา (ผลที่ส่งกลับมาจะเป็นลักษณะของ message
คล้ายกับ request ของ HTTP Client ที่ส่งมาให้ HTTP Server)
4.หลังจากที่การส่ง response เสร็จสิ้น, HTTP Server จะทำการปิดคอนเนคชั่นที่มาจาก
HTTP Client
5.ในกรณีที่ HTTP Client ต้องการ resource อื่น ๆ, HTTP Client จะต้องการทำการสร้างคอนเนคชั่นใหม่และส่งคำสั่งไปหา HTTP Server อีกครั้ง จากหลักการข้างต้นจะเห็นว่าการติดต่อสื่อสารระหว่าง Client
และServer จะเป็นลักษณะครั้งต่อครั้งในทาง network
เราเรียกการติดต่อสื่อสารแบบนี้ว่า Stateless Protocol
Uniform resource locators (URLs)
คือตัวระบุแหล่งทรัพยากรสากล (URI)
ประเภทหนึ่ง ซึ่งใช้สำหรับระบุแหล่งที่อยู่ของทรัพยากรที่ต้องการ
และมีกลไกบางอย่างสำหรับดึงข้อมูลทรัพยากรนั้นมา
ในการใช้เอกสารทางเทคนิคและการอภิปรายทั่วไป มักจะใช้ URL แทน
ความหมายที่คล้ายกับ URI ซึ่งไม่ใช่ความหมายที่ถูกต้องและอาจทำให้เกิดความสับสน
ในภาษาพูดทั่วไป URL อาจหมายถึง ที่อยู่บนเว็บ หรือ ที่อยู่ Internet
ก็ได้ ซึ่งปกติแล้วเรามักพิมพ์ URL ในแถบที่อยู่ของ
Web browser เพื่อเรียกข้อมูลจากเว็บไซต์
Domain names
คือ ชื่อเว็บไซต์ (www.yourdomain.com)
ที่สามารถเป็นเจ้าของ ซึ่งจะต้องไม่ซ้ำกับคืนอื่น
เพื่อการเรียกหาเว็บไซต์ที่ต้องการ “ชื่อเว็บไซต์” คือ สิ่งแรกที่แสดง หรือ
ประกาศความมีตัวตนบนอินเตอร์เน็ตให้คนทั่วไปได้รู้จัก
สามารถมีได้ชื่อเดียวในโลกเท่านั้น เช่น www.gict.co.th เมื่อผู้ใช้กรอกชื่อลงไปในช่อง
Address ของ Internet Explorer ก็จะส่งชื่อไปร้องถามจากเครื่องแปลชื่อ
Domain Name Server และได้รับกลับมาเป็นไอพีแอดเดรส (Internet
Protocol) แล้วส่งคำร้องไปให้กับเครื่องปลายทางตามไอพีแอดเดรส
และได้ข้อมูลกลับมาตามรูปแบบที่ร้องขอไป
ข้อควรรู้ก่อนจดโดเมน
-ความยาวของชื่อ Domain ตั้งได้ไม่เกิน 63 ตัวอักษร
-Domain ต้องจดในชื่อของเราเท่านั้น Domain
Ownership
-ถ้าเป็น Domain ของบริษัท พยายามจดภายใต้บริษัท อย่าจดชื่อพนักงาน IT
-ข้อมูลที่สำคัญที่สุดของ Domain
คือ Owner Detail
-ใช้อีเมล์ที่จะอยู่กับเราตลอดไปในการจดโดเมน
ซึ่งเป็นสิ่งเดียวที่ใช้ติดต่อกับเราเรียกว่า Registrant E-mail
-บันทึกข้อมูลเกี่ยวกับ Domain
ของเราไว้ให้ดี วันหมดอายุ ผู้ติดต่อ และอื่น ๆ